เพื่อน ๆ รู้ไหมคะว่ามัทฉะลาเต้ปรากฏขึ้นครั้งแรกบนเมนูในร้านกาแฟแค่เมื่อไม่กี่ปีที่แล้ว แต่ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ ภายในช่วงระยะเวลาที่ค่อนข้างสั้นจนหลายคนคงคิดว่ามันเครื่องดื่มคู่ร้านกาแฟมาอย่างช้านาน สีเขียวอันเป็นเอกลักษณ์ รสชาตินัว ๆ ดิบ ๆ และบางครั้งก็ขม ๆ ของมันทำให้มันโดดเด่นออกมาจากเครื่องดื่มชนิดอื่น ๆ ในร้านกาแฟ
แต่แม้มัทฉะลาเต้ของเราจะอายุยังน้อย แต่ตัวชาที่เป็นส่วนประกอบของมัทฉะ เป็นสิ่งที่คนดื่มกันมายาวนานมากกว่าพันปี เรียกได้ว่าเป็นสุดยอดอาจารของเครื่องดื่มก็ว่าได้ บางคนบอกว่า มันยังมีคุณประโยชน์ต่อสุขภาพหลายอย่างสำหรับคนที่ดื่ม
มัทฉะต่างจากชาเขียวอย่างไร
ทั้งมัทฉะและชาเขียวแบบดั้งเดิมมาจากต้นชา (Camellia Sinensis) และทั้งคู่ก็เป็นชาเขียวเหมือนกัน ถึงกระนั้น ต้นชาเชียวที่ใช้ทำมัทฉะจะปลูกในที่ร่มเป็นระยะเวลาประมาณหนึ่งเดือนก่อนที่จะนำไปเข้าสู่กระบวนการ เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงไปเพิ่มระดับของคลอโรฟิลล์ในใบชา ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้มัทฉะมีสีเขียวสด เมื่อเก็บเกี่ยวแล้ว ใบของชา (เทนฉะ -Tensha) จะถูกดึงออกไปจากลำต้นและท่อลำเลียงต้น จากนั้นจะถูกนำไปบดจนเป็นผงละเอียดประมาณผงแป้ง
มัทฉะยังมีความเข้มข้นมากกว่าชาเขียวแบบดั้งเดิม และมีระดับของคาเฟอีนที่มากกว่าด้วย มัทฉะถ้วยขนาดปกติถ้วยหนึ่งจะประกอบไปด้วยผงมัทฉะประมาณสี่ช้อนชา ซึ่งจะมีคาเฟอีนประมาณ 280 มิลลิกรัม ในขณะที่ชาเขียวหนึ่งแก้วจะมีเพียงประมาณ 35 มิลลิกรัม ซึ่งน้อยกว่าถึงแปดเท่า นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมผงมัทฉะมักถูกใช้ในปริมาณที่น้อยกว่ามาก และเป็นเหตุว่าทำไมเครื่องดื่มมัทฉะจึงมักจะเสิร์ฟกันในปริมาณที่น้อยหรือเล็กกว่า
เนื่องจากมัทฉะมีสารต้านอนุมูลอิสระสูง คนจำนวนมากจึงเชื่อว่ามันป้องกันโรคหัวใจ เบาหวาน และมะเร็งได้ อาจถึงขั้นสามารถใช้เป็นตัวช่วยในการลดน้ำหนักได้ นี่จึงเป็นเหตุผลหลักของการเติบโตระดับโลกเมื่อไม่นานมานี้ ร็อบกล่าวว่า 'ประโยชน์ต่อสุขภาพของมัทฉะเป็นเหตุผลใหญ่ที่สุดตั้งแต่มีมาที่ทำให้เราเห็นคนสั่งเครื่องดื่มชนิดนี้'
มัทฉะเกรดต่าง ๆ
มัทฉะโดยทั่วไป มัทฉะมีอยู่ 'สามเกรด' ที่คนพูดถึง ทุกวันนี้ มัทฉะที่คนทั่วไปขายคือ 'เกรดพิธีการ' (ceremonial grade) เครื่องดื่มส่วนมากใช้มัทฉะเกรดนี้ มัทฉะพิธีการควรจะดื่มเพียว ๆ โดยไม่ต้องเติมอะไร แต่ว่าถ้าเป็นผงมัทฉะที่ถูกบดละเอียดด้วยหินจะเป็นมัทฉะเกรดที่แพงที่สุด ราคาประมาณ 100-140 ดอลล่าร์สหรัฐต่อ 100 กรัม ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่ากระบวนการการบดใบชาด้วยหินต้องใช้เวลาและกำลังกายเป็นอย่างมาก
มัทฉะพรีเมี่ยมเป็นมัทฉะ 'เกรดคาเฟ่' (Cafe Matcha) ที่ไม่เข้มข้น ขม หรือหวานเท่ากับมัทฉะพิธีการ มัทฉะประเภทนี้มีราคาถูกกว่ามัทฉะพิธีการนิดหน่อย (50-80 ดอลล่าร์สหรัฐต่อ 100 กรัม) และประกอบไปด้วยใบมัทฉะที่อ่อนกว่าเพื่อรสชาติที่สดใหม่
สุดท้าย คือ 'มัทฉะสำหรับทำอาหาร' (Culinary matcha) มัทฉะประเภทนี้มีรสชาติเข้มข้น ขม และมักจะถูกใช้ในการทำขนมอบหรือประกอบอาหาร เกรดนี้เป็นเกรดที่ราคาถูกที่สุดในบรรดาทั้งหมด (15-40 ดอลล่าร์สหรัฐต่อ 100 กรัม) ในขณะที่มัทฉะมีราคาที่แตกต่างกันในแต่ละระดับ แต่ไม่มีมัทฉะประเภทไหนที่ดีไปกว่าประเภทอื่น มันแค่ต่างกันที่การใช้งานเท่านั้นเอง
สำหรับชาวตะวันตก มัทฉะอาจมีรสชาติแปลก เนื่องจากมีปริมาณคลอโรฟิลล์และกรดอะมิโนสูง มัทฉะจึงมีรสชาติอร่อย หรือที่เรียกกันว่า 'อูมามิ' (รสกลมกล่อม) อย่างไรก็ตาม การเติมนมหรือน้ำตาลลงไป สามารถทำให้มัทฉะมีรสหวานขึ้นมาก ยิ่งไปกว่านั้น คุณภาพของตัวเครื่องดื่มและรสชาติจะขึ้นอยู่กับเกรดของมัทฉะและวิธีการชงที่ใช้
เพราะฉะนั้น อนาคตของมัทฉะลาเต้และมัทฉะโดยทั่วไปจะเป็นอย่างไร ความสนใจของผู้บริโภคต่อเรื่องสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับอาหารที่กินและเครื่องดื่มที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ในขณะที่เทรนด์นี้ดำเนินต่อไป มัทฉะลาเต้ (และเครื่องดื่มมัทฉะอื่น ๆ) อาจได้รับความนิยมมากขึ้นไปอีกในเมนูในร้านกาแฟ
Comments